วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

Kawasaki D-Tracker 125 (รีวิวเอง)



Kawasaki D-Tracker 125
ที่ต้องเขียน Entry ถึงรุ่นนี้ก็เพราะมีคนรู้จักเค้าอยากได้ และกำลังตัดสินใจครับ ระหว่าง D-Tracker 125 กับ Zongshen fly 150 cc ที่เป็นรถมอเตอร์ไซด์จากประเทศจีน ซึ่งผมก็ยังไม่เคยได้ขับซักทีนึง และในกรุงเทพ ก็หาไม่เจอเลยว่าใครขับบ้าง ก็เลยไม่เคยได้ลองซะที แต่สำหรับ D-Tracker 125 ก็เคยขับบ้าง ที่เคยก็เพราะเอา CBR ไปทำสีที่ร้าน สุเมธไซเคิล แล้วที่ร้านก็มีบริการให้รถมาใช้ระหว่างรอ ดีจริงๆ มีให้เลือกตั้งแต่ Scoopy-i ไปจนถึง PCX แต่ผมเห็นว่ามี D-Tracker จอดอยู่ 1 คันก็เลยเลือกคันนี้ อารมณ์ว่าอยากลอง 
Kawasaki D-Tracker 125 เป็นรถมอเตอร์ไซด์ประเภท Motard หรือมอเตอร์ไซด์ วิบากที่ถูกปรับแต่มาให้วิ่งในทางเรียบ ซึ่งจะมีรุ่นคู่แฝดคนละฝาอย่าง KLX-125 ที่เป็นรุ่นเดียวกัน แต่เป็นรถสำหรับวิ่งตะลุยทางออฟโรด ในซีรี่ย์เดียวกัน มีรุ่นใหญ่กว่าคือ D-Tradker-150 กับ 250 ที่มีเครื่องยนต์ใหญ่กว่า และ Dimension ที่ใหญ่กว่าด้วย หลายคน ซึ่งส่วนมากเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับมอเตอร์ไซด์ จะรู้จักแต่ KSR ไม่ค่อยรู้จัก D-Tracker-125 เพราะว่ามันคล้ายๆ กัน ซึ่งเท่าที่ผมรู้ก็คือ มันแตกต่างกันตรงที่ D-Tracker มีคลัชมือ และคันใหญ่กว่านิดหน่อย แต่ Ksr เป็นคลัชออโต้ ขนาดประมาณ Minibike รู้ประมาณนี้แหละ 



ผมขับ D-Tracker คันนี้ได้ประมาณเกือบๆ 3 สัปดาห์ ก็เรียกว่าแทบจะขับทุกวัน เพราะ เป็นรถที่ขับง่่าย ขับคล่องมาก น้ำหนักเบา อัตราเร่งดีทำให้ขับสนุก และมีข้อดีอีกอย่างคือ สามารถข้ามสิ่งกีดขวางได้ เช่น ฟุตบาตรริมถนน ขับตัดข้ามทางรถไฟ อย่างนิ่มนวลด้วย 
แฮนด์บาร์ที่กว้างแต่ก็ไม่กว้างเกินไป สามารถคุมรถได้ดี ระดับของแฮนด์ถือว่ากำลังดีเหมาะกับรถ และคนที่ตัวไม่สูงมากอย่างผม ไม่ต้องก้ม นั่งสบายๆ แต่อาจจะเจ็บก้นเพราะเบาะแข็ง เวลาหักเลี้ยวสุด แฮนด์ไม่ชนหัวเข่าเหมือน KSR ไม่รู้คนอื่นเวลาขับ KSR เป็นแบบผมรึป่าว แต่คันนี้ไม่มีปัญหา 

สเตอร์หน้า 14 หลัง 44 ฟัน [ข้อมูลอาจพลาดเล็๋กน้อย]

เวลาออกตัว แทบจะยกยล้อได้เลย ขึ้นทางชันดีมากกำลังในรอบต่ำๆข้อนข้างดี จังหวะส่งต่อแต่ละเกียร์ข้อนข้างนิ่ง อัตราทดชิด ผมลองเข้าเกียร์แบบไม่ผ่อนคันเร่ง ถึงจะไม่เรียกรอบสูงมาก ก็ไม่มีอาการสะดุด กำลังต้น - กลางดีทีเดียว เมื่อเทียบกับ Sonic แต่ปลายๆนี่อาจจะไม่มี ไม่ต้องไปหาเลย 555+ 

Kawasaki KLX-125
ช่วงล่าง โช็คหน้าหัวกลับ โช้คหลังเดี่ยว-ยูนิแทร็ค  ถือว่านิ่มมากเลยล่ะ ถ้าขับคนเดียว ถือว่าเป็นข้อดีของคันนี้เลย  แต่บางคนที่น้ำหนักตัวเยอะ อาจจะรู้สึกว่านิ่มเกินไป ผมน้ำหนัก 72 สูง 170 ผมรู้สึกว่านิ่มกำลังดี แต่ไม่ได้ไปขับ Hardcore มากนะครับ ก็ลองเปรียบเทียบเอานะ

สิ่งที่ไม่น่าประทับใจนักสำหรับรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ ก็คือ คนซ้อนจะลำบากหน่อยเพราะเบาะมันนั่งไม่ค่อยสบายนัก เหมือนไม่มีฟองน้ำ มีแต่เบาะแข็งๆ นั่งนานๆก็เจ็บก้นได้ ถ้าคนซ้อนตัวใหญ่ อาจจะเสียวหงายหลังได้ 
อย่างที่ 2 คือเวลาฝนตก หรือ ถนนเปียกน้ำ 555+ ล้อหน้าดีดเข้าหน้า ล้อหลังดีดขึ้นหัว เชื่อว่าหลายคนที่ขับ KSR เคยเจอแบบนี้ เละเทะกันไป
อย่างที่ 3 คือเวลาเบรกหน้าแบบกระทันหัน จะถไลไปและอาจล้มได้ ไม่ปลอดภัยนัก และเวลาเบรคหลังก็สบัด คือล้อจะสคิทไปกับพื้น แต่ก็ยังปลอดภัยกว่าเบรคหน้า เนื่องจากรถเบา ศูนย์ถ่วงตัวรถจะอยู่ที่คนขับซะมากกว่า หน้ายางอาจไม่กว้างพอ ไม่เกาะถนนเท่าไรนัก ทำให้เบรคกระทันหันได้ยาก เว้นแต่จะขับไม่เร็วมาก ก็เป็นปกติของรถประเภทนี้อยู่แล้วครับ ถ้ามีความชำนาญระดับนึงก็จะพอควบคุมได้
อย่างที่ 4 เวลาขับในเมือง รถติดๆ อาจจะลำบากตรงที่ช่วงแฮนด์ที่กว้าง ทำให้ซอกแซกยาก ซึ่งมองผ่านๆ อาจจะคิดว่าคันเล็ก ผอมเพรียว ทำให้ซอกแซกง่าย แต่เมื่อลองขับแล้ว ไม่ง่ายเลยครับ แฮนด์จะชนกระจกมองข้างของรถยนต์ แถมกระจกมองข้างของ D-tracker ก็อยู่ที่แฮนด์ซะด้วย ยากเลยทีนี้ เว้นแต่จะนอกกรอบไปเลย โดยการขึ้นขอบถนน แต่ถ้าขับในโซนที่รถไม่ติดมาก จะขับสนุกมาก เพราะอัตราเร่งดี
อย่างที่ 5 ยางเป็นแบบมียางใน ล้อซี่้ลวด เวลาหาที่เติมลมอาจจะเติมลำบาก เพราะหัวจุกที่เติมลม มันอยู่เบียดๆ กับซี่ลวด และมันไม่สามารถงอได้เหมือนยาง Tubeless ต้องเป็นที่เติมลมที่หัวเล็กๆ ถึงจะเติมได้ แบบที่เป็นก้านหรือแบบที่เป็นหัวหนีบแบบที่ปั้มน้ำมันชอบใช้ อาจจะยากหน่อย
หลังจากขับทางไกล เส้นทางรังสิต - นครปฐมระยะทางราวๆ 100 กิโลเมตร D-Tracker คันนี้ เสียน้ำมันไปประมาณ 3 ลิตร หรือเทียบเป็น กิโลเมตร ต่อ ลิตร ก็คือ 33 กิโลเมตร ต่อน้ำมัน 1 ลิตร [33Km : L] + - 2-3 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ 80 - 100 Km : H หลุดถึง 110 บ้างในทางตรง อาจจะถือว่ากินน้ำมันมากหน่อย ถ้าเทียบว่าเครื่องยนต์ขนาดเล็ก 125 CC แถมยังเป็นระบบหัวฉีดด้วย  เทียบกับ CBR 250R ที่ผมขับ ถือว่าสูสีกัน ดีไม่ดีอาจกินมากกว่า CBR เพราะ CBR ผมขับที่ความเร็ว 100-120 Km : H วัดออกมา ได้ราวๆ 35-37 Km : L แล้วแต่น้ำมันที่เติม ถ้าเป็น Wave 125 นี่ คงจะได้ซัก 50 กิโลเมตร ต่อลิตร 
สรุปคร่าวๆ 
D-Tracker คันนี้ ไม่บอกว่าเป็นข้อดีข้อเสียละกัน เอาเป็นสิ่งที่ผมชอบกับไม่ชอบนะครับ เพราะผมข้อนข้างประทับใจอยู่ในบางจุด ส่วนเรื่องที่ไม่ประทับใจ บางคนอาจจะไม่ซีเรียส
สิ่งที่ผมชอบก็คือ ความสนุกในการขับขี่ ความแรงในรอบต้นๆ ความที่รถควบคุมง่ายมาก ยังไงก็เอาอยู่ ถ้าหากว่าชอบสนุกแบบนอกกรอบ [เอาสโลแกนของ Zoomer X มาใช้ 55+] ถ้าไม่ Hardcore มากเกินไป D-Tracer 125 คันนี้ ตอบโจทย์ได้  และได้ความที่ไม่เหมือนใครด้วย ถ้าเป็น Ksr ที่มีเยอะแล้ว ก็จะดูพื้นๆ แต่ถ้า D-Tracker อาจจะหายากซะหน่อย ทำให้ดูไม่โหลดี

สิ่งที่ผมไม่ชอบก็คือ กินน้ำมันมากไปหน่อย (สำหรับทางไกล) ขับหน้าฝนแล้วเลอะเทอะ (หมายถึงตอนฝนหยุดตกแล้ว แต่ยังมีน้ำนองถนนอยู่) กับการที่ขับซอกแซกยาก กับความสวยงามในบางจุดที่ผมคิดว่ามันสวยไม่ทั้งคัน มีบางจุดที่ไม่ค่อยสวย อย่างเช่น ท่อไอเสีย หน้าปัด แล้วก็ช่วงท้าย ส่วนข้อเสียอื่นๆนั้นผมรับได้

เพิ่มเติม 
ในเว็บ dtrackerthailand ผมไปอ่านบางกระทู้เค้าบอกว่า บางคันมีปัญหา ดับๆติดๆ แต่ก็เอาไปเคลมได้ ส่วนปัญหาอื่นๆ ไม่รู้แล้ว (ปัญหาก็ต้องมีกันบ้างล่ะนะ) 
Link http://www.dtrackerthailand.com/board/index.php?action=printpage;topic=19285.0 


ราคาของ D-Tracker 125 คันนี้อยู่ที่ 89,500 เกือบๆ 9 หมื่น เลยทีเดียว เทียบว่าแพงก็แพงอย่ากที่คิดไม่ถึง หน้าตามันดูน่าจะราวๆ 6-7 หมื่นนะผมว่า อิอิ อยากรู้ว่าทำไมราคาสูงขนาดนี้ คงต้องศึกษาเรื่องอะไหล่แต่ละชิ้น กับคุณภาพของวัสดุต่างๆ อาจจะไขคำตอบได้ ซึ่งสำหรับคนที่ชอบและศึกษามาเป็นอย่างดี ราคานี้ก็คงพอรับได้นะครับ ถ้าใช้งานจริงๆและดูแลดีดี มันจะรถคู่มือที่ไปไหนไปกันกับเจ้าของรถได้ ไม่มีทิ้งกันเลย  (ถ้าไม่เชื่อ ลองเอาซ็อปเปอร์ไปเข้าป่าดูสิ 55+ ล้อเล่นนะ)
ผิดถูกประการใด ขออภัย ณ Entry นี้นะครับ พอดีข้อมูลอาจะไม่พอ แต่ก็อาจทำให้คนที่ยังไม่รู้จัก D-Tracker คันนี้ อาจจะหันมามองมั่ง เพราะ น้อง D คันนี้ มีดีอยู่พอตัวเลย ไม่ได้โฆษณาให้ Kawasaki นะ 555+ 


Kawasaki D-Tracker 150 ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย แต่จ่ายน้ำมันด้วยคาร์บูเรเตอร์ + แต่ราคาถูกกว่า รุ่น 125 เพราะเป็นคาร์บูนี่แหละ
  Kawasaki D-Tracker 250 ใหญ่สุด เป็นระบบหัวฉีด + หม้อน้ำ ระบบวาวล์แบบ DOHC 4 วาวล์ต่อ 1 ลูกสูบ คันนี้ต้องคนขายาวและมีกำลังหน่อยนะ ไม่งั้นล้มแบบผม 55+

Kawasaki D-Tracker 125
Engine type Air-cooled, 4-stroke Single
Displacement 125 cm³
Bore x stroke 54.0 x 54.4 mm
Compression ratio 9.5:1
Valve/Induction system SOHC, 2 valves
Fuel system Fuel injection: ø20 mm x 1 (Keihin)
Ignition Digital DC-CDI
Starting Electric
Lubrication Forced lubrication, wet sump
Transmission 5-speed, return
Final Drive Chain
Primary reduction ratio 2.880 (72/25)
Gear ratios: 1st 2.917 (35/12)
Gear ratios: 2nd 2.000 (32/16)
Gear ratios: 3rd 1.474 (28/19)
Gear ratios: 4th 1.182 (26/22)
Gear ratios: 5th 1.000 (24/24)
Final reduction ratio 3.143 (44/14)
Clutch Wet multi-disc, manual
Frame type Perimeter, steel
Rake/Trail 26˚ / 94 mm
Wheel travel, front 150 mm
Wheel travel, rear 180 mm
Tyre, front 100/80-14
Tyre, rear 120/80-14
Steering angle, left / right 38˚ / 38˚
Suspension, front 35 mm inverted fork
Suspension, rear New Uni-Trak
Brakes, front Single 240 mm petal disc Twin-piston
Brakes, rear Single 190 mm petal disc Single-piston
Dimensions (L x W x H) 1,900 mm x 770 mm x 1,060 mm
Wheelbase 1,255 mm
Ground Clearance 230 mm
Seat height 805 mm
Fuel capacity 7.0 litres
Curb Mass 114 kg
Maximum power 7.6 kW 10.3 PS / 8,000 rpm
Maximum torque 10.0 N.m 1.0 kgƒ.m / 6,400 rpm